ประสบการณ์แรกกับ Neck Speaker Panasonic SC-GN01E

Panasonic SC-GN01 Sound Slayer คือ Neck Speaker ที่ Panasonic ร่วมพัฒนากับ Masayoshi Soken – Composer และ Go Kuniya – Audio Editor ของ Final Fantasy XIV ซึ่งเป็น Gaming Neck Speaker ตัวแรก ที่มีจุดเด่นตรง มีลำโพงอยู่ภายในถึง 4 จุด ทำให้เสียงแสดงออกมาได้ถึง 4 มิติเพื่อให้รู้สึกดื่มด่ำกับเกมให้มากยิ่งขึ้น ถูกเปิดตัวออกมา ช่วงประมาณเดือนตุลาคม ปี 2021 ราคาอยู่ที่ 20000 เยน หรือประมาณ 6000 บาท

ล่าสุดเพิ่งมีข่าวว่าจะทำ Bundle ลาย FFXIV บน Neck Speaker ซึ่งเราก็สนใจ แต่คิดว่าตัว Bundle คงมาไม่ถึงมือเราแน่ๆ แถมคงจะแพงแน่ๆ

แถมเราไม่ใช่พวกสายซื้อของ Bundle อยู่ละ เพราะไม่ได้เอาของไปโชว์ลายให้ใครดู ใช้เองคนเดียวอยู่แล้ว จึงมองไปที่ตัวธรรมดา ก็มาได้จากศูนย์ Panasonic ของไทย ในราคา 7990 บาท (แพงแสส)

ข้อดีของ Neck Speaker คืออะไร?

อย่างแรกเลยก็คงจะเป็นเรื่อง ดีต่อหู ไม่ต้องครอบหู ให้เกะกะ ร้อน หรือเจ็บใบหู ยิ่งกับเราซึ่งมีปัญหาเรื่อง ใช้เฮดโฟนครอบหูนานๆแล้วก็เจ็บ ใส่อินเอียนานๆ ก็สิวขึ้นในหู ซึ่งเวลาเป็นมันจะหายช้ามาก จึงไม่ค่อยชอบใช้ซักเท่าไร

และที่เราค่อนข้างจะใส่ใจมากๆเลยคือ เรื่องการใช้ Headphone แล้วก้านด้านบนของเฮดโฟนมันกดหัว ทำให้ทรงผมเพี้ยน บ้างก็เป็นร่องลงไปเห็นหนังหัว มันมีความรู้สึกเหมือนเรากำลังจะหัวล้าน จึงไม่ค่อยชอบเท่าไร

และที่น่าจะดีสุดเลยคือ มีคนทัก ก็ได้ยิน ไม่เหมือนใส่เฮดโฟน มันไม่ค่อยได้ยินอะไรเลย ยิ่งเวลาเล่นเกมอยู่ด้วยแล้ว

แกะกล่องกันเลย

ในไทย ตัวรุ่นจะกลายเป็น SC-GN01E เพราะขาย worldwide ถ้าเป็นญี่ปุ่นจะ SC-GN01 เฉยๆ เกาหลีฮ่องกงก็จะ GN01K ราวๆนี้ เป็นรหัสการขายแต่ละประเทศเฉยๆ ถ้าซื้อไม่ต้องสับสนตรงนี้

กล่องภายนอก และ การบรรจุภายใน บนรางพลาสติค ตามรูปร่างสินค้าแบบนี้ ดูเหมือนของไก่กา ราคา 199 มาก ตามสไตล์พานาโซนิค จริงๆ น่าจะทำให้หรูกว่านี้อีกซักหน่อยก็ดี ราคาก็แพง

ภายในก็มีดังนี้

Neck Speaker

สาย AUX

Manual


ตอนแรกนึกว่าจะใหญ่กว่านี้ แต่ก็ไม่ได้เล็ก ไม่ได้ใหญ่ กลางๆกำลังดี ยังกะบูมเมอแรง มีน้ำหนักแค่ 244g เท่านั้น

ตรงส่วนท้ายทอยจะเป็นวัสดุยาง มีความยืดหยุ่นมากจากภาพจะเห็นว่า ใช้น้ำหนักจากด้านบน มันก็งอขนาดนี้แล้ว ไม่กล้างอมาก มันยืดหยุ่นขนาดกลัวหักเลย

ด้านล่าง มีจุดสั่นสะเทือนของเบส ให้สั่นเวลาสวมคออยู่

ด้านซ้ายของ Speaker จะมีปุ่ม Mic Mute ช่องเสียบ AUX และ Sound อยู่ เดี๋ยวจะมาอธิบายเรื่องปุ่ม Sound อีกที หลังจากนี้

และด้านขวามีปุ่ม Mute เสียง และปรับ Volume

ตัว Neck Speaker จะมีสาย USB พ่วงอยู่ ซึ่งตัวสายมีความยาว 3 เมตร ไม่สามารถถอดออกได้ ซึ่งเรามองว่าเป็นจุดด้อยของหูฟังตัวนี้ หรือคิดอีกแง่คือ มันมีเหตุผลที่ไม่สามารถทำให้ถอดได้ เพราะอาจจะทำให้คุณภาพตกลงก็ได้

เมื่อลองสวมใส่ดูแล้ว ก็จะเป็นราวๆนี้ ถ้าเป็นคนหุ่นทั่วๆไป ก็คงจะดูใหญ่ แต่เราร่างควาย จึงจะดูเล็กๆแบบนี้ แต่จริงๆก็ไม่ได้แย่อะไร กำลังดีเลย

เริ่มทดลองใช้

ตัวหูฟังจำเป็นจะต้องเสียบกับ USB 3.0 เท่านั้น หากเสียบกับ 2.0 เสียงจะเบามาก โดยตรงนี้ใน Manual มีเขียนเตือนเอาไว้อยู่แล้วว่า 2.0 จะส่งกำลังไฟน้อย ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับหูฟังตัวนี้ ไม่ว่าจะเสียบบนเครื่องใดๆก็ตาม ต้องเป็น 3.0 เท่านั้น

เมื่อเสียบเข้าเครื่องมา ไม่ต้องลงโปรแกรม ไม่ต้องลงไดร์เวอร์อะไรเลย ตัวหูฟังจะใส่ Device มาให้ทั้งหมด 3 ตัว

Playback Device 2 ตัว

และ Microphine Device 1 ตัว

ตอนแรกมันจะจำว่า (Chat) เป็น Default Device ต้องไปเปลี่ยนให้ (Game) เป็น Default Device แทนก่อน ถึงจะเสียงดี

เมื่อใช้ครั้งแรก สิ่งที่ต้องแก้เลยคือ ต้องไปปรับเช็คก่อนว่าหูฟังเป็น 5.1 รึยัง โดยที่หน้า Playback Device ให้คลิก (Game) จากนั้นกด Configure

ในส่วนนี้ควรจะเอาเสียงจาก Center ออก จะทำให้มิติของเสียงดียิ่งขึ้น

ส่วน full-range speakers นี่ เรามีความรู้สึกว่า ถ้าเล่นพวกเกม FPS ควรจะตั้ง full-range speakers ไม่งั้นจะได้ยินยากหน่อย

เริ่มทดลองเสียงกับเกมที่เล่นอยู่

Apex Legends

ตอนแรกต้องบอกว่าเราลองผิดลองถูกอยู่ประมาณชั่วโมงกว่า โดยครั้งแรกสุดเราเสียบสายพ่วง USB 3.0 เพื่อเพิ่มระยะสาย เพราะว่า 3 เมตร สำหรับเรา เรามองว่ามันสั้นไปหน่อย ก็เลยเอาไปลองกับ Apex Legends แล้วคิดว่า Speaker เสียงเบามากเลย

และความตลกคือ ตอนแรกที่คิดว่าเสียงเบาๆ พอเล่นไปจนได้ G7 Scout มา พอใช้ยิงปุ๊ป หูฟังจะดับไปเลย แล้วก็รันใหม่ เหมือนตอนเสียบเข้าเครื่อง ยิงอีกนัด ก็ดับอีก ดับทุกครั้งที่ยิง G7 ออกไป พอเช็คๆก็พบว่า สายที่เราขยาย USB ออกไป มันไฟเลี้ยงไม่พอนี่เอง ทำให้ดับเมื่อมีเสียงที่ดังมาก หลังจากนั้นเราจึง ต่อสาย USB ตรงๆกับคอม ผ่าน USB 3.0 ทำให้เสียงออกมาดังมาก คนละเรื่องกันเลย เพราะฉะนั้นต้องจำไว้เลยว่า ต้องเสียบตรงกับ Port USB 3.0 ขึ้นไปเท่านั้น หลังจากแก้แล้วก็เสียงดังมากแล้ว แต่ด้วยความที่มันเป็นเกม Battle Royale ใช่มะ เรารู้สึกว่ามันไม่สามารถแสดงเสียงที่อยู่ไกลมากๆได้ โดยปกติเรา เราใช้หูฟัง Audio Technica ATH-M40x เราจะได้ยินเสียงไกลมากๆ แต่ตัว Neck Speaker นี้ จะได้ยินแค่โดยรอบๆตัวใกล้ๆเท่านั้น จึงไม่เหมาะกับการเอามาเล่นเกม Battle Royale เท่าไร หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ Apex Legends ไม่ได้รองรับ 5.1 อะไรขนาดนั้น

Final Fantasy XIV

หลังจาก โง่มาชั่วโมงกว่า เราก็เริ่มเข้าไปลองกับ FFXIV ที่เป็นเกมที่ถูกเอามาพัฒนา Speaker นี้โดยตรงดูบ้าง

เรามาอยู่ที่เมืองที่มีผู้คนพลุกพล่านอย่างที่ Limsa Lominsa ผู้คนนั่งคราฟของอยู่ทั่ว เสียงการคราฟ เสียงเดิน และเสียงเพลง ถูกแยกออกจากกันได้อย่างดีเลยทีเดียว

Sound Mode

ตัวปุ่ม Sound ที่อยู่ด้านซ้ายของ Neck Speaker ใช้ในการเปลี่ยนมิติเสียง โดยหลักๆจะมีดังนี้

RPG Mode – ทำให้เสียงโดยรอบมีมิติ ใกล้ไกล และเสียงเพลงประกอบฉากฟังได้ชัด ถึงแม้ว่าโดยรอบจะมีเสียงอื่นๆมากมายก็ตาม
FPS Mode – เสียงโทนต่ำจะไม่ได้ยิน เน้นเสียงกลาง และดัง
Voice Mode – เวลาฟังเพลง จะเน้นไปที่เสียงร้องมากขึ้น
Music Mode – เวลาฟังเพลง จะเน้นไปที่เพลงบรรเลงมากกว่าเสียงร้อง
Cinema Mode – กระหึ่มมากทุกอย่าง (ปกติจะใช้อันนี้เป็นหลัก ถ้าไม่ได้เล่นเกม เพราะเสียงดังดี)
Stereo Mode – ปรับกลับไปที่โหมด 2.1 แทน สำหรับการเล่นเกมที่ไม่ได้รองรับ 5.1

RPG Mode นี่จะเรียกว่า FFXIV Mode ก็ไม่แปลก มิติเสียงต่างๆจะแยกออกอย่างดีมาก ไม่มีเสียงอะไรทับซ้อนกันเลย

ไมโครโฟน

ตัวไมโครโฟน นี่ตัดเสียงรบกวน และ เสียงจาก Neck Speaker ออกไปดีมาก มีเสียงลอดบ้าง แต่ตัดออกไปร่วมๆ 95% เลย ตอนสตรีมเราลองใช้คุย Discord แล้ว มีเพื่อนทักว่าเสียงขาดๆหายๆบ้าง สงสัยเวลาคุย Discord อาจจะต้องตั้ง Automatically determine input sensitivity เป็น on ไปเลย ไม่งั้นเสียงจะขาดๆหายๆ โดยเฉพาะคนที่พูดเสียงโทนต่ำอย่างเรา ถ้าเป็นคนเสียงดัง อาจจะไม่มีปัญหาเรื่องนี้ แต่เราค่อนข้างโอเคกับระบบตัดเสียงเลย ดีกว่าที่คิดมาก เพียงแต่เรามีไมโครโฟนที่ดีกว่านี้มากเกินไป จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันเท่าไรนัก

ทดลองกับ Game Console

เราได้ทดลองกับ 3 เครื่อง นั่นก็คือ PS5 PS4 และ Nintendo Switch

PS5

จำเป็นจะต้องเสียบที่หลังเครื่องเท่านั้นเพราะ USB 3.0 อยู่ด้านหลัง ด้านหน้าไม่มี USB 3.0 น่าแปลกมาก เพราะ PS4 ด้านหน้าเป็น USB 3.0 แท้ๆ

PS4

เสียบที่หน้าเครื่องได้เลย ไม่มีปัญหา

Nintendo Switch

ต้องเสียบด้านหลัง Dock ตรงส่วนที่เสียบสาย HDMI เท่านั้น


PS4 PS5 จะถูกส่งเสียงเป็น Digital ส่วน Switch เป็น Analog ซึ่งเราลองแล้วไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไงเหมือนกัน เสียงดังเล่นเกมดีเหมือนกันทั้งคู่อะ ไม่น่าจะต้องใส่ใจ ส่วน Sound Mode ก็แค่เปลี่ยนไปเป็น Stereo Mode ก็จบปัญหาแล้ว

ทดลองใช้กับการถ่ายทอดสด

มาถึงจุดนี้ คงจะสงสัยว่า Playback Device ของ (Game) และ (Chat) แยกมาทำไมแล้วใช่ไหม จริงๆแล้วมันมีข้อดีกับการถ่ายทอดสดอย่างนึง คือเราสามารถเสียงเกม กับ เสียงพูดคุยออกจากกันได้ เพียงแค่ เราตั้งค่าดังนี้

Default Playback เป็น (Game)
Default Playback Discord เป็น (Chat)

จากนั้นตั้งค่า Audio ใน OBS เป็น Game ส่วนอีกตัวนึงเป็น Chat เท่านี้เราก็จะสามารถแยกเสียงเกม และเสียง Discord ออกจากกันได้แล้ว หากเราอยากให้เสียงเกมเบาๆ ก็แค่ปรับวอลุ่ม (Game) ใน OBS ลดลง ส่วน (Chat) ก็ให้ดังๆไว้เท่านั้น คนดูก็สามารถฟังเสียงพูดของเพื่อนเราได้มากกว่าเสียงเกมแล้ว

เสียง Game กับ Chat ออกมาพร้อมกันจะเป็นยังไง ?

เดิมทีตัวหูฟังนี้มีลำโพง 4 จุด หากตั้ง Discord เป็น (Game) เหมือนกัน เสียงมันจะออก 4 ช่อง ทำให้เสียงกับเกมทับกันฟังไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าหากตั้ง Discord เป็น (Chat) เสียง Discord จะไปออกที่ลำโพงตรงท้ายทอย ซ้ายและขวา ทำให้เราได้ยินเสียงพูดกับเกม แยกกันได้ดีมากขึ้น และจะทำให้เสียงพูดไม่สะท้อนเข้าไมค์ด้วย เพราะอยู่ไกลไมค์กว่า

ความรู้สึกหลังจากใช้มา 1 วัน

เรารู้สึกว่าคุณภาพเสียงนั้นทำออกมาได้ดีมาก พาดคอเอาไว้ ฟังเพลงได้ตลอดเวลาไม่น่ารำคาญอะไรเลย เราเห็นต่างประเทศรีวิวบ่นกันเยอะว่าเสียงเบาเกิน ซึ่งเราคิดว่าคนกลุ่มนี้น่าจะไม่ได้อ่านให้ดี ว่ามันต้องใช้กับ USB3.0 เท่านั้น จึงบอกว่าของไม่ดี ตอนแรกเราก็คิดว่ามันไม่ค่อยดีแต่หลังจากที่เราโง่ไปราวๆชั่วโมงนึง เราก็รู้ละว่ามันใช้ยังไง จึงโอเคกะมันมาก รีวิวในไทยก็หายาก ไม่ได้พูดถึงจุดดีจุดด้อยอย่างจริงจัง ไม่ได้บอกเลยว่าต้องแก้อะไรก่อนใช้งาน ถ้าถามถึงเรื่องจุดที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่ดีเท่าไร ก็คงจะเป็นเรื่องเบสที่เบาไปหน่อย แต่ก็ยอมรับได้เพราะมันถูกทำมาเพื่อใช้เล่นเกม อีกเรื่องก็สาย USB ที่ไม่สามารถถอดได้ แต่ก็อย่างที่พูดไปว่า มันอาจจะมีเหตุผลอะไรที่ไม่สามารถทำให้ถอดเข้าออกได้ เนื่องจากคุณภาพของเสียงก็เป็นได้ แต่ก็ห่วงว่าถ้าถอดเข้าถอดออกบ่อยๆ USB จะเสียรึเปล่า แต่ก็ไม่เคยเห็น USB Port เสียอะนะ แล้วก็อีกเรื่องก็คงจะเป็นเรื่องของราคา ซึ่งเรารู้สึกว่า ขนาด 20000 เยน หรือ 6000 บาท ต่างชาติยังบ่นว่ามันแพงเกินไปหน่อยเลย เข้ามาไทย พุ่งไป 7600-7990 นี่คือราคาโหดเอาเรื่องเลย ตอนแรกเราก็ลังเลมากๆ เพราะอ่านรีวิวต่างประเทศ มันค่อนข้างกระจัดกระจายมาก บ้างก็ว่าดี บ้างก็ว่าไม่ดี แต่สุดท้ายยอมซื้อมา ก็รู้สึกว่ามันดีกว่าที่คิด เพียงแต่ถ้ามันถูกกว่านี้ เหลือซัก 4-5 พัน น่าจะเป็นที่น่ายอมรับ และมีคนเลือกใช้มากกว่านี้ก็ได้นะ? และเรื่องสุดท้ายคือ เราเคยได้ยินว่า Neck Speaker นั้นถูกออกแบบมาให้ ผู้ที่สวมใส่ ได้ยินเสียงดังมากที่สุดแต่คนอื่นที่ไม่ได้สวม ก็จะไม่ค่อยได้ยินใช่มะ? แต่พอเราเอามาใช้ เรารู้สึกว่ามันลั่นดังมาก รอบข้างได้ยินแน่นอน หรือเพราะว่าเราเปิดดังเกินไปก็ไม่รู้แฮะ แต่เราว่ามันไม่ดังแบบพวกลำโพงทีวี มันจะแนวดังเล็ดๆออกไปนิดหน่อย ขึ้นอยู่กับเกมที่เล่นด้วยล่ะ เล่นเกมยิงๆก็คงจะดังเกินไป นี่เรากำลังเขียนรีวิวนี้ก็คล้องคอ เปิดเพลงฟังคลอๆไปพิมพ์ไปคือชิลสุดๆไปเลย

สุดท้ายเราคิดว่า มันเป็นของที่น่าทดลองเล่นกันดู เราคิดว่ามันเหมาะสำหรับคนเล่นเกม Offline มากๆนะ ไม่ค่อยเหมาะกับพวกเกมที่ต้องฟังเสียงโดยรอบมากเกินไปแบบพวกเกม Battle Royale แต่เกมทั่วไป เราว่ามันคือเทพมากๆเลยล่ะ ถ้าเอาไปเล่นกับเกมอย่างเช่นมอนฮัน คงจะดีไม่เลวเลยล่ะ! ส่วนเกม Online ที่เราคิดว่ามัน Perfect มากๆเลยก็ FFXIV นี่ล่ะ ก็ไม่แปลกหรอก ก็ผู้พัฒนา FFXIV เขามาร่วมทำเลยนี่นา lol

ใครตังเหลือ ก็ลองซื้อมาเล่นดูนะ เจ๋งจริง!

Comments

  1. Thancred says:

    ขอบคุณมากครับ กำลังสนใจตัวนี้อยู่พอดีเลย

  2. Pikusanko says:

    เขียนรีวิวได้ดีครับ ชอบตรงมีแนะนำเทคนิคและประสบการณ์การใช้งาน ตัดสินใจซื้อได้เลยครับ ขอบคุณที่แชร์ครับ

タイトルとURLをコピーしました